ข่าวแจ้งสื่อมวลชน

16 | ก.พ. | 2559

'เคซีอี' โชว์ผลงานปี 58 กวาดยอดขายกว่า 12,000 ล้าน เติบโต 10.3% ด้านกำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 4/58 ขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่

เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ ผู้ผลิตและส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยปีที่ผ่านมาเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตรอบใหม่ของธุรกิจกลุ่มบริษัทเคซีอี ประกาศผลดำเนินงานที่โดดเด่นด้วยยอดขาย 12,448 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อย 10.3 และกำไรสุทธิ 2,240 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 ด้านกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 4/58 ขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ที่ 630 ล้าน เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.4 ขณะเดียวกัน อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 4/58 ยังได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ที่ร้อยละ 33.8 ต่อยอดขาย

นายบัญชา องค์โฆษิต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2558 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย (กลุ่มบริษัท) ว่า กลุ่มบริษัทมียอดขายรวมเพิ่มสูงขึ้นจาก 11,284.3 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 12,448.7 ล้านบาทในปี 2558 คิดเป็นการเติบโตถึงร้อยละ 10.3 ในรูปสกุลเงินบาท โดยหลักเป็นผลจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นเพราะมีกำลังการผลิตเพิ่มจากโรงงานแห่งใหม่ ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทยังมีผลกำไรสุทธิรวม 2,240.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 จากกำไร 2,109.8 ล้านบาทในปี 2557 เนื่องจากในปีก่อนมีรายได้พิเศษจากเงินชดเชยค่าประกันความเสียหาย และกำไรจากการรวมธุรกิจ (KCE Singapore) หากไม่นับรวมรายการพิเศษดังกล่าว กำไรสุทธิของปี 2558 จะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18.3 โดยหลักเป็นผลจากการขยายกิจการในโรงงานแห่งใหม่และเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ส่งผลให้มีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 3.93 บาท ในปี 2558

หากพิจารณากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 4/2558 นับว่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ที่ 630 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานสำหรับปี 2558 ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21.9 จากปี 2557 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของยอดขาย ประกอบกับประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้นของโรงงานใหม่และการเติบโตของอัตรากำไร ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การหยุดการผลิตที่โรงงานเดิมยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายโรงงานได้อีกมากด้วย

“ปี 2558 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตรอบใหม่ของธุรกิจกลุ่มบริษัทเคซีอีโดยแท้จริง เพราะการขยายโรงงานในเฟส 1 ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2558 และในไตรมาสสุดท้ายของปีได้เปิดดำเนินการในส่วนขยายเฟส 2 หลังเสร็จสิ้นการโอนย้ายเครื่องจักรจากโรงงานเดิมสู่โรงงานใหม่ ผลการดำเนินงานของกลุ่มในช่วงครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลจากคำสั่งซื้อใหม่และการโอนย้ายกำลังการผลิตมาจากโรงงานเก่า การปิดสายการผลิตส่วนใหญ่ที่โรงงานเก่านอกจากจะช่วยประหยัดต้นทุนโรงงานแล้ว การผลิตรวมกันในโรงงานเพียงแห่งเดียวยังส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (economies of scale) มากขึ้น และทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของโรงงานใหม่ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย” นายบัญชา กล่าว

นายบัญชา กล่าวเพิ่มเติมถึงอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของปีว่ามีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 31.6 ต่อยอดขายในปี 2557 เป็น 31.4 ในปี 2558 เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกที่เริ่มเปิดดำเนินการที่โรงงานใหม่ยังมีการใช้กำลังการผลิตได้ไม่เต็มที่ แต่หลังจากที่ได้ย้ายการผลิตจากโรงงานเดิมมาที่โรงงานใหม่แล้ว อัตรากำไรขั้นต้นก็ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ที่ร้อยละ 33.8 ต่อยอดขายในไตรมาส 4/58 การปรับเพิ่มของอัตรากำไรโดยหลักใหญ่มาจากการประหยัดต่อขนาดที่สูงขึ้น (economies of scale) ตามการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นในโรงงานใหม่ ประกอบกับการผลิตที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมทั้งเป็นผลจากการเพิ่มมาตรการในการควบคุมต้นทุนที่เข้มงวดยิ่งขึ้นและการบริหารการจัดหาแหล่งวัตถุดิบที่เหมาะสม นอกจากนี้ ในปี 2558 สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายของกลุ่มบริษัทได้ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 12.2 ต่อยอดขาย เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ร้อยละ 14.9 สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายมีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามปริมาณขายที่สูงขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายบริหารมีจำนวนลดลงเพราะมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ ESOP ต่ำลง มีค่าเผื่อการด้อยค่าของเครื่องจักรน้อยลง และไม่มีค่าใช้จ่ายก่อนการดำเนินงาน (pre-operating) ดังที่เคยบันทึกรวมเป็นค่าใช้จ่ายในปีก่อน แต่ได้รวมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับภาษีของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งไว้ด้วย